การเพิ่มขนาดของอวัยวะเพศชาย ทำได้โดยการเพิ่มขนาดของผิวหนังที่อยู่รอบๆ อวัยวะเพศ การเพิ่มขนาดโดยการฉีดสารแปลกปลอม เช่น ซิลิโคน น้ำมันมะกอก มักทำให้เกิดปัญหาเรื่องของการเกิดแผลเรื้อรังและเกิดการอักเสบติดเชื้อได้บ่อย ถ้าต้องการเพิ่มขนาดอวัยวะเพศควรใช้สารธรรมชาติของร่างกาย ซึ่งทำโดยการผ่าตัดโดยใช้ไขมันหรือเนื้อเยื้อใต้ผิวหนัง การเพิ่มขนาดของอวัยวะเพศซึ่งถึงแม้จะไม่มีขนาดใหญ่มากแต่เป็นวิธีการที่ปลอดภัย มีผลข้างเคียงน้อยกว่า
เทคนิคการเพิ่มขนาดอวัยวะเพศชาย
ทคนิคที่ 1 การฉีดไขมัน
เป็นวิธีการดูดไขมันในตำแหน่องอื่นๆ โดยทั่วๆไปจะดูดบริเวณหน้าท้องหรือขาหนีบ ในบางกรณีอาจจะดูดบริเวณหัวเหน่าซึ่งจะช่วยให้ไขมันบริเวณหัวเหน่าลดลงและหัวเหน่าแบนราบ จนทำให้ดูอวัยวะเพศยาวขึ้น แล้วนำมาฉีดที่ผิวหนังบริเวณผิวหนังของอวัยวะเพศ ไขมันเป็นวิธีการที่ปลอดภัยเนื่องจากไขมันที่ฉีดเป็นไขมันจากร่างกายของเราเอง จึงมักไม่มีปฏิกิริยาหรือมีผลแทรกซ้อนในระยะยาว ไขมันที่ฉีดเข้าไปจะสามารถอยู่ได้ประมาณ 50-80 % แต่มีข้อเสีย คือ รูปร่างไม่สม่ำเสมอขึ้นอยู่กับว่าบริเวณใดมีไขมันที่ถูกฉีดมากน้อยเพียงใด และมีเซลล์ไขมันอยู่รอดมากน้อยเพียงใด การฉีดไขมันมีข้อดี คือ ไม่มีแผลบริเวณอวัยวะเพศแต่มักทำให้มีอาการบวมบริเวณผิวหนังที่ดูดไขมันประมาณ 3-4 อาทิตย์ การฉีดไขมันอาจจะเลือกฉีดเฉพาะส่วนลึกอวัยวะเพศ หรือฉีดถึงหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศก็ได้
เทคนิคที่ 2 การปลูกถ่ายผิวหนัง ( Dermal fat graft)
เป็นเทคนิคที่ต้องทำ 2 ขั้นตอน คือ
- ตัดผิวหนังที่นำมาใช้ โดยผิวหนังที่ใช้ปลูกถ่าย ได้แก่ ขาหนีบ ขอบก้น หรือผิวหนังของหน้าท้อง ในกรณีผู้ที่ต้องการลดไขมันหน้าท้องร่วมด้วย หลังจากเอาผิวหนังออก แพทย์จะตัดผิวหนังชั้นบน (Epidermis) ออก คงเหลือแต่ผิวหนังชั้นล่างและไขมันฝังเข้าไปในร่างกาย โดยทั่วไปผิวหนังที่ใช้ส่วนมากใช้เสริมอวัยวะเพศชายมักใช้ผิวหนังขอบล่างของแก้มก้น เพราะเป็นผิวหนังที่มีความหนาที่สามารถเพิ่มขนาดได้มาก และแผลเป็นที่ขอบล่างของก้มเป็นแผลที่ซ้อนไว้ด้านหนังใต้ขอบล่างของกางเกงใน ทำให้ไม่เป็นที่สังเกตุ
- เปิดแผลถัดจากส่วนหัวอวัยวะเพศเหมือนแผลขลิปหนังหุ้มปลาย ในบางกรณีอาจทำการตัดหนังหุ้มปลายอวัยวะไปด้วย แล้วใส่ผิวหนังเข้าไปใต้อวัยวะเพศ วิธีการนี้ใช้ระยะเวลาการผ่าตัดนานกว่าเทคนิคที่ 1
เทคนิคแรกเป็นวิธีการที่นิยมมากกว่า เนื่องจากมีแผลเป็นขนาดเล็กและสามารถจัดเพิ่มขนาดได้ตามความต้องการของผู้ป่วยในภายหลัง แต่อาจมีความไม่สม่ำเสมอของผิวหนังรอบอวัยวะเพศได้และมีข้อจำกัดว่ามีไขมันเพียงพอที่จะฉีดได้
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด
- ตรียมตัวหยุดงาน1 วัน
- ไม่ต้องงดน้ำและอาหาร ถ้าทำโดยการฉีดยา ถ้าดมยาสลบ ต้องงดน้ำและอาหาร 6 ชั่วโมง
- งดยาต้านการอักเสบ (NSAID) เช่นแอสไพริน บุหรี่ อาหารเสริมบางตัวที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น กระเทียม น้ำมันปลา อย่างน้อย 2 อาทิตย์ ก่อนการผ่าตัด
- กรณีที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ
- ทำความสะอาดบริเวณที่ผ่าตัดก่อนมาคลีนิก
- เตรียมกางเกงชั้นในหลวมๆ สำหรับใส่หลังผ่าตัด
- โกนขนของอวัยวะเพศ เช้าวันที่มาผ่าตัด
- ถ้าใช้เทคนิคดูดไขมันควรเตรียมชุดกระชับหน้าท้องใส่หลังดูดไขมัน
ขั้นตอนการผ่าตัด
เทคนิคที่ 1
- ทำโดยการฉีดยาชา หรือดมยาสลบ
- ฉีดยาชาผสมยาที่ทำให้เลือดหยุด ในบริเวณที่จะดูดไขมัน รอเวลาประมาณ 10-15 นาที
- เปิดแผลที่บริเวณหน้าท้องหรือขาหนีบ ประมาณ 5-10 มม.
- สอดเข็มสำหรับดูดไขมันขนาดกลาง ทำการดูดไขมันและเลือกไขมันส่วนที่ดีเพื่อเตรียมฉีดเข้าผิวหนัง
- ฉีดไขมันในตำแหน่งที่ต้องการ และประมาณตามที่ตกลงก่อนผ่าตัด โดยทั่วไปจะฉีดประมาณ 20-50 cc.
- โดยทั่วไปจะฉีดรอบอวัยวะเพศ ยกเว้นหนังหุ้มปลายเพื่อให้ปัสสาวะได้สะดวก แต่ในบางกรณีอาจฉีดถึงหนังหุ้มปลายได้ แล้วแต่ที่ตกลงก่อนผ่าตัด
เทคนิคที่ 2
- ทำโดยการดมยาสลบ
- ตัดผิวหนังบริเวณขาหนีบ หรือร่องก้น แล้วเตรียมผิวหนังเพื่องฝังในอวัยวะเพศ เย็บปิดแผลบริเวณหน้าท้องหรือขาหนีบ
- เปิดแผลเหมือนแผลขลิปหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ ฝังผิวหนังส่วนที่เตรียมไว้ที่อวัยวะเพศ จัดจนได้รูปทรงสวยงาม
- ขยายช่องของผิวหนังที่ใส่บริเวณใต้ท่อปัสสาวะ เพื่อให้ท่อปัสสาวะขยายตัวได้ง่ายเวลาที่ปัสสาวะ
- เย็บปิดแผลบริเวณปลายอวัยวะเพศ
การดูแลหลังการผ่าตัด
เทคนิคที่ 1
- จะมีแผลเป็นที่บริเวณผิวหนังประมาณ 1 ซม. ใช้เบตาดีน เช็ดแผล เช้า-เย็น
- โดยทั่วไปจะตัดไหมประมาณ 5 วัน
- งดทำงานหนัก หรืองานประมาณ 7-10 วัน
- งดร่วมเพศ 3 อาทิตย์
- โดยทั่วๆไปมักจะยุบบวมประมาณ 15-20 วัน
- ใช้สำลีชุบน้ำเกลือเช็ดรอบๆแผล เช้า-เย็น
- ถ้ามีปัญหาเรื่องบวมมาก หรือเลือดออกผิดปกติ ให้ติดแพทย์โดยทันที
- ใช้ผ้าพันแผลชนิดพิเศษพันรอบอวัยวะเพศ ประมาณ 1-2 อาทิตย์ เพื่อลดอาการบวม
- โดยทั่วไปจะมีอาการบวมประมาณ 3-4 อาทิตย์ บางครั้งหนังหุ้มปลายจะบวมมาก อาจทำให้ปัสสาวะลำบากประมาณ 1-2 อาทิตย์
- อาการบวมที่อวัยวะเพศจะเกิดประมาณ 3-4 อาทิตย์ ระหว่างนี้ควรงดกิจกรรมทางเพศ
- หลัง 4 อาทิตย์ สามารถร่วมเพศได้ แต่ควรใส่ถุงยางในช่วง 2 อาทิตย์แรก เพื่อลดอาการปวดแผลจากการเสียดสี
เทคนิดที่ 2
- ให้เปิดแผล เช็ดแผลที่ขาหนีบหรือร่องก้น เช้า-เย็น หลังจากอุจจาระควรทำความสะอาดแผลร่องก้นให้ดี
- ใช้เบตาดีนเช็ดแผลอวัยวะเพศ เช้า-เย็น
- แผลขาหนีบจะตัดไหมประมาณ 5-7 วัน แต่แผลร่องก้นจะตัดไหม 10-15 วัน แล้วแต่ความตึงของแผล
- ใช้ผ้าพันแผลพิเศษ พันให้รอบอวัยวะเพศประมาณ 1-2 อาทิตย์เพื่อลดอาการบวม
- ใช้เบตาดีนเช็ดแผลที่หนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ ประมาณ 1 อาทิตย์
- โดยทั่วไปแผลที่ปลายอวัยวะเพศจะถูกเย็บด้วยไหมละลาย ไม่ต้องตัดไหม แต่ถ้าครบ 10-14 วัน แล้วไหมยังไม่ละลายสามารถตัดไหมได้
- ควรงดกิจกรรมทางเพศ 2 อาทิตย์แรก เนื่องจากแผลภายในยังไม่หายสนิท หลัง 3 อาทิตย์สามารถร่วมเพศได้