ผ่าตัดลดการหลั่งเร็ว

ปัญหาการหลั่งเร็วเป็นปัญหาที่พบได้บ่อย และมีผลต่อความสัมพันธ์ของบุคคลและครอบครัว ภาวะการหลั่งเร็ว ผบโดยประมาณ 1 ใน 3 ของคนทั่วไป โดยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพทางเพศเห็นด้วย โรคหลั่งเร็วเป็นอาการป่วยซึ่งมีผลกระทบต่อผู้ที่เป็นโรค มีลักษณะดังนี้

  • ช่วงเวลาระหว่างการสอดใส่และการหลั่งสั้นมาก (หรือหลั่งก่อนการสอดใส่) โดยทั่วไปกำหนดว่าหลั่งก่อน1นาทีหลังการสอดใส่
  • รู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมการหลั่งได้
  • รู้สึกไม่มีความสุขหรือมีปัญหาจากภาวะหลั่งเร็ว ทำให้เกิดความเครียดและความอับอายจึงหลีกเลี่ยงการร่วมเพศ

สิ่งเหล่านี้ทำให้ความพึงพอใจในการร่วมรักและคุณภาพชีวิตของผู้ชายและคู่รักลดลงได้

โรคหลั่งเร็ว มี 2 รูปแบบ คือ แบบแรกมีภาวะหลั่งเร็วตั้งแต่มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก (lifelong primary) และอีกแบบมีภาวะหลั่งเร็วเกิดขึ้นภายหลังจากเคยหลั่งแบบปกติมาแล้ว (acquired primary secondary) การที่ต้องแบ่งเป็น 2 กลุ่ม เพราะมีผลต่อการเลือกวิธีรักษา เพราะในกลุ่ม lifelong การให้การโดยพฤติกรรมบำบัดมักได้ผลไม่ดี คงต้องเริ่มต้นด้วยการใช้ยาหรือวิธีอื่นๆ

ช่วงเวลาการหลั่งมีความแตกต่างกันไป ทั้งในผู้ชายแต่ละคน และในชายคนเดียวกันกับคู่รักต่างคนหรือต่างสถานการณ์ ก็มีช่วงเวลาการหลั่งที่แตกต่างกันได้ ผู้ชายบางคนปรารถนาที่จะร่วมรักให้ยาวนานขึ้น แม้เขาไม่มีภาวะหลั่งเร็วเลย ในภาวะปกติ ผู้ชายที่เป็นโรคหลั่งเร็ว มีกลไกการหลั่งเหมือนกันกับผู้ชายที่ไม่มีภาวะหลั่งเร็ว หากแต่การหลั่งนั้นเกิดขึ้นเร็วกว่ามากและควบคุมไม่ค่อยได้ การหลั่งแบบปกติเป็นปฏิกิริยารีเฟลกซ์ (reflex action) ซึ่งถูกควบคุมโดยสมองและระบบประสาทอีกชนิดหนึ่งที่ควบคุมได้ยาก ภาวการณ์หลั่งเร็วผู้ชายรู้ว่ากำลังจะหลั่งแต่สามารถหยุดมันได้ทันที ที่มันถูกกระตุ้นก็ไม่สามารถหยุดได้เหมือนกับเวลาไอหรือจาม

ผู้ชายที่เป็นโรคหลั่งเร็วมักไม่ค่อยสนใจในเรื่องเพศ ไม่ถึงจุดสุดยอด และมีภาวะการแข็งตัวได้ยากหรือไม่สามารถคงการแข็งตัวเอาไว้ได้ ผู้ชายที่เป็นโรคหลั่งเร็วรู้สึกกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์โดยรวม จนบางครั้งถึงกับหลีกเลี่ยงความสัมพันธ์ใกล้ชิดทั้งหมด แม้แต่คู่สมรสซึ่งมีความพึงพอใจในการร่วมรักแต่มีภาวะหลั่งเร็ว ก็อาจรู้สึกว่ามีบางสิ่งขาดหายไปในความสัมพันธ์ ทั้งความเชื่อมั่นที่ลดลง ความวิตกกังวลความละอายใจและหลีกเลี่ยงการร่วมเพศ โดยการหลั่งเร็วสามารถส่งผลกระทบทั้งด้านคุณภาพชีวิตและความพึงพอใจในการร่วมรักคู่ครองของเขาด้วย

ก่อนการรักษาการหลั่งเร็ว ควรที่จะตรวจโรคอันที่เกี่ยวข้อง เช่นโรคเรื้อรัง ความผิดปกติของฮอร์โมน โรคทางระบบประสาท การติดเชื้อในท่อปัสสาวะหรือต่อมลูกหมาก โรคไพโรนี ก่อนการเริ่มต้นการรักษาการหลั่งเร็ว ถ้ามีภาวะอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ หรือการติดเชื้อทางเดินท่อปัสสาวะหรือต่อมลูกหมาก ก็ต้องรักษาภาวะการติดเชื้อในทางเดินท่อปัสสาวะหรือการหย่อนสมรรถภาพทางเพศก่อน ( Erectile Dysfunction: ED)

A.  การรักษาการหลั่งเร็ว แบ่งเป็นพฤติกรรมบำบัด (Behavior Therapy)  อาจลองใช้วิธีการต่างๆด้วย

  • ช่วยเหลือตัวเองบ่อยๆ (Master Masturbation)

การเรียนรู้ที่จะควบคุมความรู้สึกสุดยอด (Orgasm) และฝึกฝนที่จะควบคุม โดยอาจเริ่มด้วยการช่วยตัวเอง  (master masturbation) จนถึงจุดที่ใกล้จุดสุดยอดแล้วหยุด พอความรู้สึกคลายลง ก็เริ่มใหม่ ทำซ้ำเช่นนี้ 3-4ครั้ง แต่ละครั้งให้เข้าใกล้จุดสุดยอดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้เรียนรู้ว่า จุดสุดยอดอยู่ตรงไหน การทำเช่นนี้จะทำให้สามารถควบคุมการหลั่ง และชะลอการหลั่ง การช่วยตัวเองก่อนการร่วมเพศก็สามารถยืดเวลาการหลั่งตอนที่ร่วมเพศได้ โดนทั่วไปการช่วยตัวเอง ก่อนการร่วมเพศจะได้ผลดีในคนอายุน้อย เพราะการหลั่งครั้งที่ 2-3 มักจะใช้เวลานานกว่าครั้งแรก แต่วิธีการนี้อาจไม่ได้ผลดีในคนที่อายุมาก

  • เทคนิคหยุดและเริ่มใหม่ (Stop-Start Technique By Semans)

โดยเทคนิคนี้เริ่มใช้ได้ตั้งแต่การเริ่มต้นเล้าโลม เมื่อรู้สึกว่าอวัยวะของคุณเริ่มตื่นตัว เมื่อมีความรู้สึกอยากจะหลั่งแล้วจะต้องหยุดหายใจเข้า-ออก ช้าๆ พยายามกลั้นไม่ให้หลั่งทันทีที่คุณรู้สึกว่าได้รับการกระตุ้นมากเกินไปให้คุณหยุดเพียงช่วงเวลาสั้นๆ5-10 วินาที เพื่อช่วยบรรเทาการตื่นตัวของคุณ หลังจากนั้นฝึกทำซ้ำไปซ้ำมา แล้วค่อยหลั่งออกมา

  • เทคนิดการบีบ (Squeeze Technique By Masters and Johnson)

Squeeze Technique คือเมื่อจะถึงจุดสุดยอด ใกล้จะหลั่ง ให้ใช้นิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ บีบที่ตรงใกล้เส้นสองสลึงหรือตรงโคนอวัยวะเพศนานประมาณ 3-4 วินาที จนความรู้สึกลดลง (อาจใช้ร่วมกับวิธีแรกเพื่อให้ควบคุมได้ง่ายขึ้น) พัฒนาเทคนิคขึ้นเพื่อให้อวัยวะเพศของคุณอ่อนตัวลง และสามารถใช้ได้ทุกครั้ง เมื่อคุณรู้ตัวว่าจะถึงจุดหลั่งคู่ของคุณจะช่วยได้ ด้วยการที่เธอใช้นิ้วบีบบริเวณเดียวกัน

  • การขมิบก้น (Kegel Exercise)

การขมิบก้น หรือการบริหารกล้ามเนื้อหูรูดบริเวณอุ้งเชิงกราน คือรอบๆทวารหนักนั่นเอง คล้ายๆกับเวลาอยากถ่ายอจจาระแล้วอั้นไว้โดยนับ1-10 ในใจช้าๆ แล้วค่อยๆคลายออก นับเป็ฯ1ชุด ทำอย่างนี้วันละ10-15 ครั้ง การฝึกแบบนนี้ หมั้นฝึกจนกว่าจะบังคับได้ ให้กล้ามเนื้อบริเวณนั้นหดรัดตัวเวลาที่มีกิจกรรมทางเพศ ไม่ว่าจะช่วยตัวเองหรือมีเพศสัมพันธ์ พอรู้สึกว่าจะหลั่งก็สั่งกล้ามเนื้อชุดนี้ให้หดตัวไปบีบรัดท่อปัสสาวะ ไม่ให้น้ำอสุจิหลั่งออกมา

วิธีการของ Kegel Exercise  สามารถยืดระยะเวลาและควบคุมการหลั่งได้ในบางราย พบว่าช่วยในผู้ชายที่อายุน้อยและไม่มีประสบการณ์  วิธีการของ Kegel Exercise เป็นวิธีการที่ง่าย หลายคนหมักใช้การขมิบก้น เพื่อกลั้นอุจจาระหรือปัสสาวะ ในกรณีที่ไม่สามารถใช้ห้องน้ำได้ทัน วีธีการดังนี้

1. ขมิบก้นอย่างแรงเหมือนการที่กำลังปัสสาวะและหยุดกลั้นปัสสาวะทันที ทำประมาณ 9-10 ครั้ง แต่ละครั้งให้กลั้นไว้หลายๆวินาที ในช่วงระยะ 1-2 เดือนแรก หลัง 1-2 เดือน ควรขมิบกล้ามเนื้อได้ประมาณ 10 วินาที
2. พยายามขมิบกล้ามเนื้อให้แรงขึ้นและคลายกล้ามเนื้อจนผ่อนคลายปกติ และทำสลับกันให้เร็วมากขึ้น
3. การขมิบสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา เช่น ขณะเดิน ขณะทำงาน

หลังออกกำลังกายไปช่วงหนึ่ง กล้ามเนื้อจะแข็งแรงมากขึ้น สามารถใช้ผ้าเช็คตัวเพื่อเช็คดูน้ำหนักที่สามารถรับได้ จากกล้ามเนื้อบริเวณนี้

นอกจากนี้วิธีพฤติกรรมบำบัด ก็ยังช่วยในการชะลอการหลั่งได้แก่
1. ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก่อนเริ่มปฏิบัติภารกิจ ทำให้สมรรถภาพลดลง จึงทำให้เสร็จช้าลงตามไปด้วย
2.  การใช้ท่า woman on top ฝ่ายชายจะผ่อนคลาย แล้วควบคุมการหลั่งได้ง่ายขึ้น

หมายเหตุ ในกลุ่ม lifelong หรือกลุ่มที่หลั่งเร็วตั้งแต่แรก พฤติกรรมการบำบัดข้างต้นมักได้ผลไม่ดี เพราะใช้เวลาฝึกนานและต้องอาศัยความร่วมมือกับผู้ร่วมเพศ ทำให้มีความยุ่งยากมาก และโอกาสประสบความสำเร็จมีน้อย ในกลุ่มนี้การใช้ยากินหรือยาทาจะได้ผลดีกว่า

วิธีพฤติกรรมบำบัดบางทีช่วยให้ประสบความสำเร็จในการควบคุมการหลั่งประมาณ 50-60% ในระยะแรก แต่ในระยะยาวอาจลดต่ำกว่านี้

การใช้ยาเฉพาะที่ กลุ่มยาทาเฉพาะที่
1. ยาทา เพื่อช่วยลดความรู้สึก
2. สเปร์ยพ่นชะลอการหลั่ง
3. ถุงยางชะลอการหลั่ง (มีสารออกฤทธ์คล้ายๆยาชา ลดความรู้สึก)

B.  กลุ่มยาเฉพาะที่ กลุ่มยาทาเฉพาะที่ก่อนการนำมาใช้

การใช้กลุ่มยาเป็นวิธีการที่ได้ผลดี ด้วยการใช้ยาชาชนิดครีมเพื่อชะลอการหลั่ง (lidocaine prilocaine) วิธีการใช้การทาบริเวณส่วนกลางและปลายอวัยวะเพศ 20-30 นาทีก่อนการร่วมเพศ ไม่ควรทาน้อยไปหรือเกิน 30 นาที เพราะจะทำให้ชามากจนไม่แข็งตัว ยกเว้นให้คนที่มีการหลั่งเร็วอย่างรุนแรง หลังจากทายาให้ใส่ถุงยางทับยาชาชนิดครีมอีกชั้นหนึ่ง เพื่อไม่ให้ยาชากระจายไปที่อื่นและช่วยให้ฤทธ์ยาชาอยู่เฉพาะที่ นอกจากนั้นการไม่สวมถุงยางก่อนการร่วมเพศ ยาชาอาจกระจายไปที่ช่องคลอด ทำให้ช่องคลอดผู้หญิงเกิดอาการชา สำหรับถุงยางที่ผสมยาชา มักได้ผลไม่แน่นอน โดยการใส่ถุงยางแบบผสมยาชาออกฤทธิ์การช้า เฉพาะส่วนปลายอวัยวะเพศ การใส่ถุงยางวิธีนี้ใส่ก่อนการร่วมเพศได้ไม่นาน อวัยวะเพศจะยังไม่ทันชาจึงไม่ค่อยช่วยชลอการหลั่ง ยาชาที่ใส่ในถุงยางมีความเข้มข้นน้อย ทำให้ระคายเคืองเนื้อเยื้ออ่อนในผู้ชายซึ่งอยู่ที่ปลายท่อปัสสาวะ ซึ่งอยูที่ปลายสุดของอวัยวะเพศชาย และส่วนช่องคลอดทั้งหมดในผู้หญิง ทำให้เกิดการระคายเคืองในขณะร่วมเพศได้ และบางครั้งการใช้ยาชาชนิดอ่อน อาจทำให้เกิดการกระตุ้นปลายประสาท แทนที่จะเกิดอาการชา

C.  ยากิน กลุ่มยารับประทานที่ช่วยลดอาการหลั่งเร็ว แบ่งเป็น 2 ชนิด

• กลุ่มยาต้านภาวะซึมเศร้า เช่น Imipramine, trazodone
• กลุ่มยาต้านการเก็บสาร serotonin (SSRI) กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ได้ผลดีในปัจจุบัน ยากลุ่มนี้ได้แก่
– Paroxetine (20-40 mg/dose)
– Sertraline (25-200 mg/dose)
– Fluoxetinen หรือ Prosac

วิธีการทานมี  2 แบบ คือ
• แบบทานยาทุกวัน จะเริ่มได้ผลประมาณ  2-3 วัน แต่จะเห็นผลชัดเมื่อ 1-2 อาทิตย์ และสามารถอยู่ได้ยาวนานเป็นปี ปัญหาของยามีอาการข้างเคียง ซึมเศร้า ง่วงนอน คลื่นไส้ ปากแห้ง ท้องเสีย ซึ่งอาการจะดีขึ้น 2-3 อาทิตย์
• ใช้ก่อนการร่วมเพศ 1-2 ชม. (Dapsxetine) จะได้ผลไม่ค่อยดี อาจใช้ในผู้ที่ไม่สามารถทนอาการข้างเคียงได้

การผ่าตัด

การผ่าตัดลดอาการหลั่งเร็วเป็นวิธีการสุดท้าย ก็นำมาใช้รักษาการหลั่งเร็ว โดยทั่วไปแนะนำให้ใช้วิธีการข้างต้นก่อนถ้าไม่ได้ผลจริงๆ จึงพิจารณาการผ่าตัด

การผ่าตัดเป็นการลดความรู้สึกส่วนปลายของอวัยวะเพศชายเป็นแบบชั่วคราว โดยวิธีการผ่าต้องตัดเส้นประสาททำให้เสียความรู้สึกที่ปลายอวัยวะเพศ ซึ่งช่วยให้ยืดเวลาการหลั่งเร็วได้นานประมาณ 8-10 เท่า

หลักการผ่าตัด ปลายอวัยวะเพศจะมีความรู้สึกลดลง ทำให้สามารถร่วมเพศได้ยาวนานขึ้น หลังจากนั้น 6 เดือน ความรู้สึกก็จะเริ่มกลับมาเหมือนเดิม ดังนั้น ในช่วงเวลา 6 เดือน ควรมีเพศสัมพันธ์ต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เพื่อได้หัดควบคุมระยะเวลาการหลั่ง ความรู้สึกก็ลดลงจะเกิดบริเวณปลายอวัยวะเพศเท่านั้น ส่วนกลางอวัยวะเพศจะมีความรู้สึกอยู่เหมือนเดิม

ปัญหาการผ่าตัด ถ้าตัดเส้นประสาทไม่หมด อาจจะยังมีความรู้สึกไวกว่าปกติ การผ่าตัดในกรณีเช่นนี้มักเกิดจากการที่มีเส้นประสาทในตำแหน่งที่ไม่ปกติที่ยังไม่ตัด ถ้ามีปัญหาอยู่การแก้ไขการผ่าตัดใหม่ เพื่อเข้าไปตัดเส้นประสาทที่เหลือ แผลผ่าตัดมีลักษณะเหมือนแผลขลิปหนังหุ้มปลาย ซึ่งแผลเป็นจะเห็นไม่ชัด ในบางคนความรู้สึกอาจไม่กลับมาปกติเท่าเดิม เนื่องจากเกิดแผลเป็นบริเวณเส้นประสาท

การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด

  1. เตรียมตัวหยุดงาน 3-7 วัน
  2. ไม่ต้องงดน้ำงดอาหาร ถ้าทำโดยการฉีดยาชา
  3. งดยาต้านการอักเสบ (NSAID) เช่นแอสไพริน อาหารเสริมบางตัวที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น กระเทียม น้ำมันปลา อย่างน้อน 2 อาทิตย์ก่อนการผ่าตัด
  4. กรณีที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ควรแจงให้แพทย์ทราบ
  5. ทำความสะอาดและโกนขนอวัยวะเพศก่อนการผ่าตัด ควรเลือกกางเกงที่มีสีเข้ม เช่น ดำ น้ำเงิน น้ำตาล เพราะน้ำเหลืองจากแผลจะเลอะกางเกงใน จะเห็นได้ชัด
  6. เตรียมกางเกงในให้สวมๆสำหรับใส่หลังผ่าตัด
  7. เตรียมอุปกรณ์ที่ทำแผลได้แก่
    • น้ำเกลือล้างแผล
    • เบตาดีน (ห้ามใช้ทินเจอร์ ไอโอดีน หรือแอลกอฮอล์)
    • ผ้าก๊อส
    • ไม้พันสำลี
    • พลาสเตอร์ปิดแผล
    • กอสกันติดแผล อาจใช้ Sofatulle หรือ Er gotolle
  8. งดสูบบุหรี่ 10 วัน และแอลกอฮอล์ประมาณ 2 วันก่อนการผ่าตัด

ขั้นตอนการผ่าตัด

ในบางครั้งไม่จำเป็นต้องโกนขนอวัยวะเพศกฝ้สามารถทำการผ่าตัดได้ แนะนำให้โกนขนอวัยวะเพศก่อนการผ่าตัด เพราะหลังผ่าตัดต้องมีการดูแลแผลผ่าตัดรอบๆด้วยผ้าก๊อสและพลาสเตอร์ ถ้าขนมีอวัยวะเพศ จะทำให้เกิดการติดพลาสเตอร์ที่ยากและเวลาแกะพลาสเตอร์ก็อาจติดบริเวณขนทำให้เจ็บมากเวลาเปิดแผล

  • การผ่าตัดทำโดยการฉีดยาชาที่โคนอวัยวะเพศ
  • เปิดแผลบริเวณใต้ปลายอวัยวะเพศ
  • หาเส้นประสาทที่แยกจากเส้นหลัก 2 เส้น ที่ทำให้มีความรู้สึกที่ปลายอวัยวะเพศ ขั้นตอนนี้สำคัญ และใช้เวลามาก เพราะถ้าหาเส้นประสาทไม่ครบอาการชาจะไม่ลดลง
  • แยกเส้นประสาทที่ไปปลายอวัยวะเพศ
  • หยุดเลือดที่เนื้อเยื่อด้านในของแผล
  • เย็บปิดแผลโดยใช้ไหมละลาย

การดูแลหลังการผ่าตัด

  1. ปกติแผลจะหายประมาณ 1-2 อาทิตย์
  2. ใน 24 ชั่วโมงแรกถ้ามีเลือดออกให้ใช้ผ้าก๊อสพันแผลและกดตำแหน่งที่มีเลือดออกไว้ 10 นาที หรือจนกว่าเลือดจะหยุด
  3. ในวันแรกหลังการผ่าตัดอาจใช้แผ่นประคนเย็นหรือน้ำแข็งประคบบริเวณแผล (ทุก 20 นาที) เพื่อลดอาการบวมและอาการปวด
  4. การอาบน้ำหรือใช้ฝักบัวสามารถทำได้ในวันที่ 2 หรือ 3 หลังการผ่าตัดหลังจากผ่าตัด หลังจากอาบน้ำเช็ดแผลให้แห้งเร็ว
  5. ในบางคนถ้าไท่ต้องการให้แผลถูกน้ำ เพราะอาจจะทำให้แผลเจ็บได้อาจใช้การเช็ดตัวหรือใช้ถุงพลาสติกเวลาอาบน้ำ
  6. ระวังเวลาปัสสาวะ อย่าให้ถูกผ้าก๊อสพันผล ถ้าผ้าก๊อสพันแผลเปื้อนปัสสาวะให้เปลี่ยนทันที
  7. แผลจะปวดมากและตึงมากถ้ามีการแข็งตัว ควรหลีกเลี่ยงสิ่งที่กระตุ้นอารมณ์ทางเพศ การแข็งตัวตอนเช้ามักทำให้ปวดแผลมาก
  8. ยาแก้ปวดทานได้ทุก 4 ชั่วโมง
  9. ไม่ต้องตัดไหม เพราะมักจะเป็นไหมละลาย ในอาทิตย์ที่ 3 ไหมจะหลุดเอง
  10. งดการร่วมเพศจนกว่าแผลจะหายสนิท  โดยทั่วไปประมาณ 2 อาทิตย์
  11. พยายามร่วมเพศสม่ำเสมอ ในช่วงที่ยังมีอาการชาอยู่ เพื่อฝึกควบคุมการหลั่ง