ศัลยกรรมดึงหน้า

การดึงหน้าเป็นการแก้ปัญหาแก้มห้อยย้อย, คางย้อยและบริเวณคอเหี่ยว ในบางรายมีไขมันสะสมในบริเวณแก้มและใต้คางก็จะใช้วิธีดูดไขมันประกอบด้วยไปพร้อมๆ กับการดึงหน้า

ผู้ที่เหมาะกับการดึงหน้าได้แก่คนที่เห็นร่องลึกข้างจมูกและแก้ม เห็นหนังที่คอเริ่มคล้อยและที่หนักหนาหน่อยก็อาจจะกลายเป็นเหนียง เห็นแก้มเริ่มห้อยหรือเห็นคอหลายชั้น รู้ไว้ว่าการดึงหน้า ช่วยยกผิวหนังบริเวณใบหน้าส่วนกลางและลำคอเท่านั้น ไม่สามารถแก้ไขริ้วรอยตีนกา หน้าผากย่น และเปลือกตาหลุบได้

การดึงหน้า FACE LIFT

การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด

  1. งดยาต้านการอักเสบ ( NSAID ) เช่นแอสไพริน บุหรี่ อาหารเสริมบางตัวที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น กระเทียม น้ำมันปลา อย่างน้อย 2 อาทิตย์ ก่อนการผ่าตัด  สมุนไพรไทยบางชนิดมีผลต่อการแข็งตัวของเลือด จึงควรงดด้วย
  2. สมุนไพรบางชนิดเช่นอีฟนิ่งพริมโรส ยาวิตามินอีปริมาณสูง ๆ อาหารที่มีส่วนผสมของผงชูรส กระเทียม หัวหอม ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง อาจทำให้เลือดออกมากผิดปกติหรือมีปัญหาระหว่างผ่าตัด ควรแจ้งให้แพทย์ทราบเพราะอาจต้องหยุดรับประทานสมุนไพรก่อนเข้ารับการผ่าตัดประมาณ 3 – 5 วัน
  3. สำหรับผู้ที่จะวางยาสลบต้องงดน้ำ  งดอาหารก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 6  ชั่วโมง
  4. สระผมตอนเช้าก่อนผ่าตัดเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
  5. ผู้ที่มีความดันสูงต้องควบคุมให้เป็นปกติก่อนผ่าตัด  2 อาทิตย์
  6. เตรียมงดสูบบุหรี่ก่อนผ่าตัด 1 – 2 อาทิตย์
  7. เตรียมตัวหยุดงานประมาณ 7 -10 วัน สำหรับการดึงหน้าทั้งหมด และ 5 – 7 วัน สำหรับการดึงหน้าบางส่วน
  8. ควรพาเพื่อนมาด้วยในวันผ่าตัด
  9. ถ้ามีโรคประจำตัว ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อน
  10. ผู้ที่เป็นโรคหัวใจบางชนิด ต้องกินยาต้านเกล็ดเลือด เช่น ยา aspirin ควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวก่อนผ่าตัด
  11. ผู้ที่กินยา Cumadin  เพื่อป้องกันภาวะการแข็งตัวของเส้นเลือดดำที่ขาหรือในผู้ที่เป็นโรคลิ้นหัวใจรั่ว ควรปรึกษาแพทย์ประจำตัวและหยุดยาก่อนมารับการผ่าตัด
  12. ผู้ที่ใช้เครื่องกระตุ้นการทำงานของหัวใจ ( Pacemaker) ไม่ควรทำการผ่าตัด
  13. เครื่องประดับที่เป็นโลหะควรถอดเก็บไว้ที่บ้าน เพื่อป้องกันการสูญหาย เนื่องจากไม่สามารถใส่ระหว่างผ่าตัดได้
  14. หลังผ่าตัด อาทิตย์ที่ 2 มักมีรอยคล้ำของเลือดและน้ำเหลืองบริเวณคอ ควรเตรียมเสื้อคอปิดไว้ใช้หลังผ่าตัด
  15. แผลเป็นที่เกิดจากการผ่าตัดจะอยู่ที่หลังหูและบริเวณไรผม ในผู้ที่ชอบเกล้าผมหรือเปิดหลังหู อาจต้องพิจารณาเปลี่ยนทรงผมหลังผ่าตัด
  16. เนื่องจากแผลเป็นหลังหูอาจมองเห็นในคนที่ไว้ผมซอยสั้น ดังนั้น ก่อนผ่าตัด 1 เดือน ผู้ที่ไว้ผมแบบเปิดหลังหูหรือซอยสั้น อาจต้องเปลี่ยนทรงผมเพื่อไม่ให้เห็นแผลเป็นชัดเจนหลังผ่าตัด

เทคนิคการผ่าตัด

เทคนิคที่1 การดึงหน้าส่วนบน

เป็น การผ่าตัดดึงหน้า ด้านข้างหน้าผากและข้างแก้ม โดยมีแผลเป็นบริเวณขมับและบริเวณแก้มโดยไม่มีแผลที่บริเวณหลังใบหู เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดึงหน้าผากด้านข้าง, ยกคิ้วและผิวหน้าบริเวณโหนกแก้มเหมาะกับผู้ที่มีร่องรอยเหี่ยวย่นบริเวณใบ หน้า แต่ไม่มีรอยย่นบริเวณคอ เป็นการดึงหน้าเฉพาะ 2/3 ของใบหน้า

วิธีนี้สามารถทำผ่าตัดได้โดยไม่ต้องวางยาสลบ  หรือถ้าผู้ป่วยกังวลก็สามารถวางยาสลบได้เช่นกัน

เทคนิคที่2 การดึงหน้าทั้งหมด (FULL FACELIFT)

เป็นการดึงหน้าที่ทำผ่าตัดบริเวณส่วนบน, ส่วนกลางและคอ เหมาะสำหรับผู้ที่มีหน้าและคอย่น วิธีนี้เป็นการดึงหน้าที่ทำมากที่สุด เพราะสามารถช่วยให้ใบหน้าทั้งหมดดูอ่อนเยาว์ขึ้น  ช่วยแก้ปัญหาคางย้อยและคอเหี่ยวย่นได้

การผ่าตัดนี้ต้องทำโดยการดมยาสลบ นอนโรงพยาบาล 1 วัน หลังการผ่าตัดควรหยุดงานประมาณ 7 วัน เนื่องจากมักมีอาการบวมหลังการผ่าตัด

เทคนิคที่3 การดึงคิ้ว, ขมับและหางตา (TEMPORAL LIFT)

เป็นวิธีการผ่าตัดเพื่อดึงหางคิ้ว , ขมับ เพื่อให้หางคิ้วเปิด ช่วยให้หางตาตกน้อยลง โดยทั่วๆไป มีการผ่าตัด 2 วิธี คือ

F3.1 ลงแผลภายในไรผมเช่นเดียวกับวิธีการดึงหน้า

วิธีนี้จะไม่เห็นแผลบริเวณใบหน้า แต่ไม่สามารถดึงหน้าได้ตึงมาก สามารถทำผ่าตัดโดยฉีดยาชาได้ หรือถ้าผู้ป่วยต้องการวางยาสลบก็ได้เช่นกัน

F3.2 วิธีที่ลงแผลผ่าตัดที่ไรผม

ใช้กับผู้ที่มีหน้าผากกว้างอยู่แล้ว เริ่มมีศีรษะล้าน และไม่ต้องการให้หน้าผากกว้างมากขึ้น เป็นวิธีที่มองเห็นแผลเป็นที่ไรผมแต่ไม่มีการเพิ่มความกว้างของหน้าผาก

เทคนิคที่4 การดึงคอ
(NECK LIFT)

เป็น การผ่าตัดที่แก้ปัญหาเรื่องคอเหี่ยวย่นและคางย้อย ในกรณีที่คางย่นมากอาจจำเป็นต้องดูดไขมันที่คางด้วย วิธีนี้จะมีแผลผ่าตัดหลังใบหูถึงศีรษะด้านหลัง

เทคนิคที่5 การดึงหน้าร่วมกับการดึงหน้าผาก (FOREHEAD LIFT AND FACELIFT)

ทำในผู้ที่ต้องการดึงหน้าและมีรอยย่นที่หน้าผากมาก และต้องการผ่าตัดในคราวเดียวกัน

การปรึกษาแพทย์ก่อนผ่าตัด

การปรึกษาก่อนการผ่าตัด ต้องปรึกษาถึง

  1. ความตึงของใบหน้าที่ต้องการดึงโดยดูจากต้องการยกร่องแก้มมากขนาดไหน
  2. บริเวณหางคิ้ว ต้องการยกสูงขึ้นเท่าใด
  3. ตำแหน่งของจอน(Ear lock) ในผู้ชายอาจต้องเปลี่ยนตำแหน่งไป ซึ่งอาจต้องเปลี่ยนตำแหน่งของแผลเป็นเพื่อไม่ให้จอนเปลี่ยนตำแหน่ง
  4. แผลที่บริเวณเหนือใบหู ซึ่งอาจเป็นแผลที่อยู่ในไรผมหรืออยู่ชิดกับไรผมได้
  5. ต้องการดูดไขมันใต้คางด้วยหรือไม่

ขั้นตอนการผ่าตัด

  1. วางยาสลบ หรือฉีดยาชาเฉพาะที่
  2. ถ้ามีไขมันใต้คางมากสามารถดูดหรือตัดไขมันใต้คางร่วมกับการผ่าตัดดึงหน้าได้
  3. ดึงทั้งหน้าใช้เวลาในการผ่าตัดประมาณ 4 ชั่วโมง  ถ้าทำเฉพาะส่วน ใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง โดย เทคนิค F2 , F5 ต้องทำโดยวางยาสลบ ส่วนเทคนิค F1, F3, F4 อาจทำโดยฉีดยาชาเฉพาะที่
  4. หลังจากผ่าตัด  ผู้ป่วยควรพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาล 1-2 วัน
  5. สามารถไปทำงานได้หลังผ่าตัด 10 วัน

การดูแลหลังผ่าตัด

  1. ประคบเย็นที่ใบหน้า (บริเวณหน้าผาก, แก้ม 2 ข้าง) วันละ 4 ครั้ง เพื่อลดอาการบวม  ประมาณ 3 – 5 วัน
  2. นอนยกศีรษะสูง (หนุนหมอน  2 ใบ) เพื่อลดอาการบวม
  3. ผ้าตาข่ายที่พันบริเวณใบหน้านั้นปิดไว้เพียง 1  วัน เช้าวันรุ่งขึ้นให้ตัดหรือแกะออก  จากนั้นสระผมได้โดยเกาอย่างเบามือ เพื่อล้างคราบเลือดออก  ซับแล้วเป่าผมให้แห้ง  สามารถสระผมได้ทุกวันตามปกติ
  4. 5 วันหลังผ่าตัดให้มาตัดไหมบริเวณหน้าหู บริเวณนี้ไม่ควรตัดไหมช้าเพราะจะมีแผลเป็น
  5. 7  วันหลังทำการผ่าตัด  ให้มาคลายไหมที่ศีรษะเพื่อลดอาการตึงของแผล
  6. 10 วันหลังทำการผ่าตัด  ให้มาตัดไหมทั้งหมดออก (พร้อมทั้งพบแพทย์เพื่อตรวจแผล) ถ้าแผลตึงมาก อาจตัดไหมวันที่ 14 หลังผ่าตัด
  7. หลังจากคลายไหมแล้ว ใช้ยาทาแผลเป็น ทานวดที่แผล (บริเวณกกหู, หลังหู, ท้ายทอย) เพื่อป้องกันการเกิดแผลเป็นนูนแข็ง วันละ  2 ครั้ง  ทุก ๆ วัน
  8. รับประทานยาตามแพทย์สั่งจนหมด ถ้าเกิดอาการแพ้ยา  เช่น  มีผื่นแดง, คัน, คลื่นไส้อาเจียน, แน่นหน้าอก ให้มาพบแพทย์ทันที
  9. งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์, งดสูบบุหรี่ 2 อาทิตย์หลังผ่าตัด
  10. ถ้ามีอาการเลือดออกมากผิดปกติ หรือบวมมาก ควรติดต่อแพทย์โดยทันที

หมายเหตุ

 

  1. ล้างหน้า, สระผมได้ตามปกติ (1 เดือนหลังทำผ่าตัดสามารถทำสีผมได้)
  2. 2  อาทิตย์หลังทำผ่าตัดนั้น หากที่บริเวณแผลมีรอยเขียวช้ำสามารถประคบน้ำอุ่นได้ วันละประมาณ  2 ครั้ง (รอยฟกช้ำนั้นสามารถหายได้ตามธรรมชาติ)
  3. อนึ่ง ควรระมัดระวังในการประคบน้ำอุ่น ไม่ควรร้อนเกินไป เนื่องจากอาจเกิดแผลจากน้ำร้อนได้ เพราะบริเวณใบหน้ามักมีความรู้สึกลดลง
  4. หลังทำผ่าตัดบริเวณใบหน้า, ติ่งหู จะยังบวมอยู่ประมาณ 4  อาทิตย์ จากนั้นจะหายเป็นปกติ และอาการชาบริเวณใบหน้า, ท้ายทอย จะหายไปเองประมาณ 6  เดือน
  5. หลังทำผ่าตัดเนื่องจากเส้นประสาทบริเวณใบหน้าถูกกระทบกระเทือน
  6. หลังตัดไหมแล้ว หากพบไหมยังหลงเหลืออยู่  ให้ดึงหรือตัดออกเอง
  7. นวดบริเวณแผลใบหน้า (แก้ม, คาง 2 ข้าง)  วันละ 2  ครั้ง เพื่อลดอาการบวม, อาการแข็งบริเวณแผล และให้โลหิตไหลเวียนสะดวก
  8. รับประทานอาหาร, ออกกำลังกายได้ตามปกติ
  9. หลีกเลี่ยงแสงแดดจัดประมาณ 4 – 8 อาทิตย์
  10. จะรู้สึกชา ๆ ที่แก้มอยู่หลายอาทิตย์
  11. ตัดไหมที่หูและคาง 5 วัน สำหรับไรผมและศีรษะ 10-14 วัน อาจมีการใช้ที่เย็บแผลบริเวณไรผม
  12. จะสามารถแต่งหน้าได้ภายใน 1-2 อาทิตย์
  13. ถูกแดดได้ภายใน 2 เดือน โดยต้องทาครีมกันแดด
  14. ความตึงของใบหน้าอยู่ได้ประมาณ 7-10 ปี